วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552

ซูซิ...ซาซิมิ...หากินได้ในญี่ปุ่น...ส่วนซาอีปิ...กลับไปกินเมืองไทย...




00000ทุ่มเศษคณะก็เดินทางไปถึงภัตราคารที่ทางทัวร์จัดไว้ให้...เป็นบุฟเฟ่ต์บาร์บีคิว ทั้งเนื้อวัวเนื้อหมู ปลา ไก่ ซีฟูต ที่สุดแท้แต่ใครจะเลือก...พอได้ที่นั่งเรียบร้อยต่างคนก็แยกย้ายกันไปเลือกตักอาหาร...คนละชนิดสองชนิดแล้วนำมารวมกัน ปิ้งๆ ย่าง ๆบนเตาอย่างสนุกสนาน...ทานคู่กับน้ำจิ้ม สไตล์ญี่ปุ่นแต่รสชาดไม่เข้ากับปากปลาร้าอย่างพวกเรา ดีแต่ว่าคุณสุพจน์ เขาเป็นมืออาชีพนำลูกทัวร์มาบ่อยจึงได้เตรียมน้ำจิ้มของไทยที่คุ้นลิ้นไปด้วย...รสชาดจึงกลับคืนมาบ้าง...โต๊ะนั่งก็เหมือนโต๊ะร้านเนื้อย่างบ้านเรานี่แหละ...ที่บ้านเราคงลอกแบบไปจากญี่ปุ่น...หรือไม่ก็เกาหลี...จึงใช้ชื่อร้านว่าเนื้อย่างเกาหลี...มีเก้าอี้ สี่ห้าตัว...ล้อมรอบโต๊ะ...คนไทยสไตล์ลาวอีสานลากโต๊ะมาต่อกันสองตัวบ้างสามต้วบ้างตามแต่พื้นที่จะอำนวย...สจ.บ้านนอกอย่างพวกเรา...อร่อยหรือไม่ไม่ว่าตักทุกอย่างที่มี...จนล้นจานทั้งซูซิ ซาซิมิ ข้าวปั้นหน้าต่างๆ(ข้าวเหนียวพันสาหร่าย,ข้าวเหนียวห่อปลาดิบ) แต่หลากหลายกว่าเมืองไทยแถมเครื่องเคียงอีกมากมายอาทิ สลัด ราเม็ง อุดัง สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือสาเก...เหล้าขาวชั้นดีที่เป็นเครื่องเคียงกับข้าวชั้นยอด"เขาให้ไปรินเอา" สจ.สฤษดิ์..ถือแก้วที่มีสาเกเกือบล้น...ทำให้พวกเราพากันเดินไปรินเอาเหล้าที่มีหลายขวดหลายตระกูลวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ..."เหล้ากะบุฟเฟ่ต์เบาะคือดีแท้..."สจ.กะปิถามด้วยความสงสัย...."เหล้าต้องซื้อเองครับ"คุณสุพจน์เตือนเบาๆ "กะย่าแล้วกินแหละ บ่มีไผบอกเฮย..."สจ.สฤษดิ์บอกด้วยภาคภูมิใจที่ขโมยกินสาเกญี่ปุ่นได้
00000เมนูพิเศษอีกที่ประทับใจพวกเราคือ ขาปูยักษ์ "ปูอลาสก้า กิโลละ 5000 บาท สั่งได้ไม่อั้นสำหรับพวกเรา"นายกสมชอบ หัวหน้าคณะทัวร์บอกทีมงานที่กำลังสนุกสนานกับการกิน หลังสาเกออกฤทธิ์เสียงก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แถมโต๊ะข้างๆนักเรียนญี่ปุ่นสาวๆที่มากันเป็นกลุ่ม เป็นคู่นั่งไม่ระวังชายกระโปร่งมันยิ่งทำให้เฒ่าหัวงู...ที่หนีเมียมากินซาซิมิที่นี่....คนที่คิดถึงซาอีปิ...ก็ต้องทนอดไปกินที่บ้านครับเจ้านาย...และแถมโออี ปิ อีกหนึงหม้อใหญ่ที่เก่าและแก่ อีเฒ่าคนเดิมครับ...

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

วัดอาซะกุซ่า...(วัดพระแก้วญี่ปุ่น)...

เพิ่มรูปภาพอาหารในโลกนี้ไม่ว่าฝรั่ง อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น สู้ของที่บ้านเราไม่ได้หรอก...ยิ่งเมียเราเป็นคนทำถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 9 ของโลก....แต่ไปไหนต้องกิน...เพราะกินแล้วอร่อยไม่อร่อย...เดียวมันก็ออกมาเป็นกากอาหารแล้วก็หิวอีก...
บ่ายแก่ๆ รถก็มาจอดหน้าบริเวณวัดอาซะกุซ่า..วัดเก่าแก่ที่สุดในกรุงโตเกียว ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปทองคำเจ้าแม่กวนอิม...ผู้คนเดินกันขวักไขว่แข่งสายฝน...หรือว่ามาวัดเหมือนคนไทยบางคนเพื่อ...ขอหวย...บนบานให้ร่ำรวย...ให้....ฯลฯ...หรือมาเพื่อกราบไหว้ขอพร...มาเพื่อศรัทธาต่อศาสนา...แฟชั่นญี่ปุ่นมีให้เห็นเดินคู่เดินเดี่ยว เป็นกลุ่ม..."คือกับวัดพระแก้วบ้านเรานั่นแหละ"สจ.กระปิ จากเรณูนครตั้งข้องสังเกตุ ...เออน่าจะใช่เพราะเห็นนักท่องเที่ยวทุกทัวร์ถูกต้อนมาที่นี่กัน ภายในวัดยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์(เข้าตำราชาวพุทธ)โคมไฟสีแดงขนาดยักษ์ที่มีความสูงถึง 4.5 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานวัด...จากลานวัดเชื่อมกับถนนนาคามิเสะ...อันเป็นย่านช้อปปิ้งของวัดที่ขายสินค้าโอท็อปที่ระลึกมากมายทั่วประเทศ...ของถูก...แต่ไม่มีใครกล้าซื้อเพราะยังเสียดายเงินเยนที่มีอยู่น้อยนิด...ของขายก็เหมือนสินค้าบ้านเราแถววัดอยุทธยา หรือแหล่งท่องเทียวทั่วไปไม่ว่าจะเป็นผ้าทอมือ...เครื่องรางของขลัง...พระ เหรียญต่างๆ...เงินเก่า...มีดดาบ...รวมถึงขนมพื้นบ้านทั่วไป...
0000"ไเราจะพาท่านเข้าสู่ที่พักโรงแรมชินจูกุ ( SHINJUKU PRINCE HOTEL)อันเป็นโรงแรมชื่อดังที่ตั้งอยู่กลางย่านชุนจูกุ ย่านช้อปปิ้งชื่อดังของกรุงโตเกียว ชินจูกุ มีความเจริญอันดับหนึ่งของโตเกียว ปัจจุบันถูกขนานนามว่าศูนย์กลางที่สองแห่งนคร ศูนย์รวมร้านค้าจัดแต่งอย่างหรูหราน่ารักหลากสไตล์ ที่ท่านจะได้เพลิดเพลินกับการจับจ่ายสินค้าที่ถูกตาถูกใจเงินในกระเป๋า เช่าน นาฬิกาแบรนด์เนมดัง อุปกรณ์อิเลคทรอนิค กล้องถ่ายรูปดิจิตอล หรือสินค้าเอาใจคุณผู้หญิงที่บ้าน เช่นเสื้อผ้าแฟชั่นวัยรุ่น กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางค์ยี่ห้อดังของญี่ปุ่น...ไม่ว่าจะเป็น KOSE SHISEDO KANEBO SK-II ...ในราคาถูกกว่าเมืองไทย ซึ่งทุกท่านเดินดูสินค้าได้จนกว่าเวลาก่อนทุ่มตรง เราถึงจะนำท่านไปกินอาหารค่ำ ณ ภัตราคารหรูครับ..."เสียงคุณสุพจน์ประกาศผ่านไมค์โครโฟน...

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

มนุษย์ในโลกนี้...มีอะไรที่เหมือนและต่างกัน...


00พระราชวังที่ใหนๆในโลกนี้เหมือนกันอยู่อย่างคือมากด้วยระเบียบ...ข้อห้าม...ทั้งๆวันนี้เป็นวันจันทร์ยังบอกเราว่าเข้าชมไม่ได้เพราะเขาปิด...คณะเราทุกคนไม่มีใครอยากดูพระราชวังสักเท่าใดหรอก...ที่มาเมืองกิโมโนครั้งนี้อยากดูอย่างอื่นมากกว่า...ฝนพรำปรอยๆ อากาศเย็นถึงไม่หนาวจัดก็ทำให้คนที่มาจากประเทศร้อนอย่างพวกเรารู้สึกหนาวได้...หลายคนยืนถ่ายรูปไว้ดูไว้อวดคนพอสมควรแล้วก็ขึ้นรถ...เพราะไม่ได้เข้าไปในพระราชวังเห็นแต่ตัวกำแพงก็คงไม่มีใครใส่ใจนักนอกจากสาวนักเรียนนักศึกษาที่มากันเป็นกลุ่มเป็นคู่...แถมนุ่งสั้นตามแบบฟอร์มของญี่ปุ่นที่ทำให้ไอ้เฒ่าหัวงูทั้งหลายพอมีอารมณ์เบิกบานได้บ้าง...พระราชวังแห่งนี้ก็คงใช้เงินของประเทศมหาศาล...ใช้จำนวนคนที่เป็นแรงงานมากมายเช่นเดียวกับเมืองอื่นๆในการก่อสร้าง...สร้างเสร็จก็อยู่แค่ครอบครัวเดียว...ข้างในเขาทำอะไรบ้างใครจะไปรู้เพราะกำแพงหนาทึบ...ประตูเหล็กไม่รู้กี่ชั้น...เวรยามอีกต่างหาก...นี่แหละคือโลกมนุษย์ผู้ที่มีพละกำลังเหนือกว่าย่อมเอาเปรียบคนที่อ่อนแอเสมอ....
0000เที่ยงเศษรถก็มาจอดอยู่หน้าปากซอยแคบๆแห่งหนึ่ง กลางกรุงโตเกียว ทุกคนเดินตามกันเหมือนแถวนักเรียนอนุบาล ขึ้นไปบนอาคารหลังเล็กแห่งหนึ่งที่มีภาษาญี่ปุ่นเขียนไว้ให้อ่าน...ไม่เข้าใจหรอกดูรูปเอา..."ร้านอาหาร..."สจ.สฤษดิ์...เดาตามรูปทรงของอาคารที่ดัดแปลงเป็นภัตราคาร...
0000อาหารญี่ปุ่นวางเรียงรายรอพวกเราอยู่เต็มโต๊ะ(ขันโตก)ข้างๆมีเบาะรองนั่ง...ทุกคนเข้าไปนั่งประจำที่ไม่ได้พูดจากันมากนักเพราะ...กินบะหมี่...ขนมปัง...กาแฟคนละถ้วยตั้งแต่เช้า....นี่เกือบบ่ายโมงแล้ว...อาหารญี่ปุ่น...คนไทยอย่างเราคุ้นเคยบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้กินประจำ สาหร่ายห่อข้าวเหนียว...ข้าวเหนียวห่อปลาดิบ...เส้นหมี่...หมั้นโถ...ต้มเส้น...ฯลฯ.... ก็รอดตายไป...

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

ญี่ปุ่น...ประเทศที่ทุกคนอยากสัมผัส....และลิ้มลอง...สักครั้ง

0000วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2551 เวลา หกโมง สี่สิบนาทีเศษ คนไทย 13 คนก็ได้เดินผ่านขั้นตอนของศุลกากรของสนามบินนาริตะญี่ปุ่น ออกจากสนามบินก้าวขึ้นรถบัสที่มารับคณะ"ขอต้อนรับทุกท่านสู่ประเทศญี่ปุ่น และขอสวัสดีอีกครั้งนะครับ"เสียงคุณสุพจน์ ไกด์นำเที่ยวที่นำคณะเราเข้าสู่ญี่ปุ่นและจะเป็นผู้พานำเที่ยวศึกษาดูงาน "ประเทศญี่ปุ่นจะเช็คอินเข้าโรงแรมตอนหลังบ่ายสองโมง ฉนั้นก่อนเข้าโรงแรมจะพาคณะเข้าชม พระราชวังอิมพีเรียล พระราชวังอันเก่าแก่อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิ์แห่งราชวงค์เมจิของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียวท่ามกลางคูน้ำล้อมรอบสร้างมาตั้งแต่สมัยเอโดะ"เสียงไกด์สาธยายผ่านไมค์โครโฟนของรถ "มันกะสิคือวัดพระแก้ว บ้านเฮานี่หละเน๊าะ"เสียงสจ.แทรกมาทางหลังรถ
0000รถวิ่งมาตามถนนประมาณ สิบกว่านาทีก็จอดริมถนนนึกว่าคงเป็นปั้มน้ำมันที่ไหนสักแห่งเพื่อให้ผู้คนลงไปผ่อนคลายเข้าห้องน้ำแปลงฟัน แต่ไม่ใช่ กลับเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ที่มีทั้งกาแฟ เครื่องดื่ม อาหาร แบบฟูดฟาส ตั้งเป็นตู้เรียงรายกันอยู่ในตึกแถวเล็กๆ(เพิงหมาแหงน)ถ้าบ้านเราก็คงเป็นร้านขายอาหารริมถนนสักแห่งที่ขายข้าวเหนียวไก่ย่างส้มตำลาบก้อย หรือร้านข้าวแกงแต่นี่คือญี่ปุ่น อาหารหลักก็ต้องเป็นของญี่ปุ่นผสมผสานกับขนมปังฮอทด็อกเพื่อให้ดูเป็นอินเตอร์ แต่ถ้ามองดูโดยรอบบริเวณแถวนี้คงเป็นร้านที่ราคาถูกที่สุดของทั้งคนญี่ปุ่นหรือคนต่างประเทศ ทุกคนเอาเงินเยนมาแลกคูปองก่อนไปเลือกซื้ออาหารแปลกตาที่ยังไม่คุ้นเคยกับรถชาด...ภาษามือเป็นภาษที่ดีที่สุดสำหรับอาหารมื้อนี้...และอาหารมื้อแรกของเราในแผ่นดินนี้คือ"บะหมี่ กับกาแฟอีกหนึ่งถ้วยกระดาษ"
0000ญี่ปุ่นก็คือญี่ปุ่น...เป็นเมืองที่ทุกคนรู้จักทางประวัติศาสตร์ผ่านการศึกษาเล่าเรียน ผ่านทางสื่อต่างๆว่าก้าวหน้ากว่าใครเพื่อนในภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ หรือแม้แต่ประเทศอื่นในโลกใบนี้ เรื่องคน วัฒนธรรม เราทั้งหลายทราบดีผ่านทั้งภาพยนตร์ หนังสือ สารคดี ทีวีทุกช่อง เอาญี่ปุ่นมาชำแหละจนเห็นทุกซอกมุม...คงไม่ต้องนำมาสาธยายอีกนะครับ...แต่ญี่ปุ่นก็คือคนเอเซีย กินข้าวเป็นหลัก กินผักเป็นประจำ พื้นที่อันน้อยนิดตามลาดเขา ตามที่ลุ่มก็มีนาข้าว มีสวนผัก...ถึงแม้พื้นที่ไม่กว้างใหญ่เหมือนบ้านเรา ก็มีให้เห็นทั้งนาข้าว สวนผัก ผลไม้...ตามที่ว่างสองข้างทางที่ฝนกำลังลงเม็ดปรอยๆ "เรียนทุกท่านทราบนะครับว่าขณะนี้ญี่ปุ่นอยู่ในห้วงมรสุม...มีพายุเข้า...ทำให้ญี่ปุ่นทั่วทั้งประเทศอากาศเย็น...และมีฝนตก...ก่อนลงจากรถให้ทุกท่านหยิบเอาร่มติดตัวคนละคันไปด้วยครับ..." เสียงคุณสุพจน์ ประกาศบอกพวกเราด้วยความเป็นห่วงหลังจากนำรถผ่านหุบเขา ขึ้นเขา ลงห้วย ...ริมทะเล รอดอุโมงค์...ผ่านทางเรียบทางชันก็ถึงพระราชวังเก่าแก่แห่งญี่ปุ่ในเวลา 11 นาฬิกาเศษ....